ค้นหาสมุนไพร  
     
   
   
   
     
 
   
eherb ผลการค้นหา - Nactarine, peach [1]
- Nactarine, peach [1]
Prunus persica (L.) Batsch
 
 
 
 
 
รายละเอียดทางพฤษศาสตร์
 
  วงศ์ Rosaceae
 
  ชื่อวิทยาศาสตร์ Prunus persica (L.) Batsch
 
  ชื่อไทย มักม่วน, ท้อ
 
  ชื่อท้องถิ่น - ยาแก๊ะสะ(กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน), ท้อ(คนเมือง) - หุงหม่น, หุงคอบ (เชียงใหม่), มักม่วน,มักม่น (ภาคเหนือ), มะฟุ้ง (ชาน), ท้อ (จีน-แต้จิ๋ว) [1]
 
  ลักษณะทาง พฤกษศาสตร์ เป็นพรรณไม้ผลัดใบ มีขนาดสูงประมาณ 8 เมตร ลักษณะลำต้นและกิ่งอ่อนจะมีผิวเปลือกเกลี้ยงไม่มีขน เป็นสีน้ำตาลแดง หรือสีเขียวอ่อน
ใบ ใบมีลักษณะเป็นรูปยาวรี ปลายใบแหลมเรียว ริมขอบใบจักตื้นเล็กน้อย ขนาดของใบกว้างประมาณ 3-6 นิ้ว และความยาวของก้านใบประมาณ 7-12 มม.
ดอก ดอกออกเป็นดอกเดี่ยวริเวณกิ่ง ลักษณะของดอกมีกลีบเป็นสีชมพูอ่อน ดอกหนึ่งมี 5 กลีบ ลักษณะเป็นรูปมนรีที่โคนดอกมีกลีบเลี้ยงเชื่อมติดกัน ปลายกลีบแยกออกเป็น 5 แฉก มีสีแดง ผิวนอกกลีบมีขน ตรงกลางดอกมีเกสรทั้งตัวผู้และตัวเมีย เป็นส้นฝอยจำนวนมาก ขนาดของดอกเมื่อบานเต็มที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-1.5 นิ้ว
ผล ผลมีลักษณะเป็นรูปมนรี ปลายแหลม เปลือกนอกของผลมีสีเขียวออกเหลืองๆ และมีขนส้นๆ นิ่มปกคลุม ภายในผลมีเมล็ด อยู่ เม็ด มีลักษณะเป็นรูปมนรี คล้ายกับรูปหัวใจ เปลือกเมล็ดแข็ง มีร่องลึก [1]
 
  ใบ ใบ ใบมีลักษณะเป็นรูปยาวรี ปลายใบแหลมเรียว ริมขอบใบจักตื้นเล็กน้อย ขนาดของใบกว้างประมาณ 3-6 นิ้ว และความยาวของก้านใบประมาณ 7-12 มม.
 
  ดอก ดอก ดอกออกเป็นดอกเดี่ยวริเวณกิ่ง ลักษณะของดอกมีกลีบเป็นสีชมพูอ่อน ดอกหนึ่งมี 5 กลีบ ลักษณะเป็นรูปมนรีที่โคนดอกมีกลีบเลี้ยงเชื่อมติดกัน ปลายกลีบแยกออกเป็น 5 แฉก มีสีแดง ผิวนอกกลีบมีขน ตรงกลางดอกมีเกสรทั้งตัวผู้และตัวเมีย เป็นส้นฝอยจำนวนมาก ขนาดของดอกเมื่อบานเต็มที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-1.5 นิ้ว
 
  ผล ผล ผลมีลักษณะเป็นรูปมนรี ปลายแหลม เปลือกนอกของผลมีสีเขียวออกเหลืองๆ และมีขนส้นๆ นิ่มปกคลุม ภายในผลมีเมล็ด อยู่ เม็ด มีลักษณะเป็นรูปมนรี คล้ายกับรูปหัวใจ เปลือกเมล็ดแข็ง มีร่องลึก [1]
 
  สรรพคุณ / การใช้ประโยชน์ - ผลสุก รับประทานได้(กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน,คนเมือง)
1. ราก เปลือกรากหรือต้น ใช้สดประมาณ 30-60 กรัม แล้วนำไปต้มกิน หรือใช้สำหรับภายนอก โดยต้มเอาน้ำชะล้างราก เปลือกรากหรือต้นนั้น จะมีรสขม ใช้รักษาโรคดีซ่านและตาเหลือง โดยใช้รากหั่นเป็นฝอย ต้มกินตอนอุ่นๆ ขณะที่ท้องว่าง ใช้รักษาเยื่อหุ้มกระดูกอักเสบ ใช้รากอ่อนสีขาว ผสมน้ำตาลแดงพอประมาณ แล้วตำพอกบริเวณที่เจ็บ นอกจากนี้ยังเป็นยารักษาประจำเดือนมาไม่ปกติ ปวดข้อแผลบวม อาเจียนเป็นเลือด กระอักเลือด เป็นแผลมีหนองเรื้อรัง และโรคริดสีดวงทวาร [1]
2. ใบ ใช้สดประมาณ 30-60 กรัม นำไปต้มน้ำกินหรือใช้สำหรับภายนอก โดยการตำพอก และต้มเอาน้ำชะล้างใบ นั้นจะมีรสขม ใช้รักษาอาการปวดหัวเนื่องจากลมร้อน ใช้ใบตำพอก เป็นแผลในรูจมูก ให้ใช้ใบอ่อนตำ แล้วอุดรูจมูกที่เป็น บริเวณตาบวม ใช้ใบคั้นเอาแต่น้ำทา ตามบริเวณที่บวม เป็นกลากบริเวณหน้าและลำตัว ให้คั้นใบเอาน้ำทารักษาโรคริดสีดวง ใช้ใบต้มเอาน้ำชะล้างบ่อยๆ หรือจะใช้รากก็ได้ รักษาโรคอหิวาตกโรค ปวดท้อง อาเจียนให้ใช้ใบหั่นเป็นฝอย นำไปต้มกินตอนอุ่นๆ เป็นปัสสาวะขัด หรือท้องผูก ให้ใช้ใบคั้นเอาน้ำกิน ครั้งละครึ่งชาม และยังรักษาอาการไข้ โรคมาลาเรีย โรคผิวหนังเรื้อรังมีสารจำพวก glycoside มีแทนนินประมาณ 100 มก.% และกลัยโคชัยด์เล็กน้อย [1]
3. ดอกใช้แห้งประมาณ 3-6 กรัม นำไปต้มน้ำกินหรือนำไปบดเป็นผงกิน ใช้สำหรับภายนอก โดยการตำพอกหรือบดให้ละเอียดเป็นผงทา ดอกนั้นจะมีรสขม ใช้รักษาอาการท้องผูก ให้ใช้ดอกต้มน้ำกินบ่อยๆ แทนน้ำชาได้ บรรเทาอาการปวดเอวและสะโพก ใช้ดอก รากเข็ก และข้าวสาร ต้มรวมกันให้สุก เอากากออก แล้วกินวันละ 3 เวลา โรคกระเพาะปัสสาวะ ขาบวมน้ำ ปวดเอว และไตมีน้ำคั่ง ใช้ดอกตากให้แห้ง ในที่ร่ม แล้วนำไปบดเป็นผงผสมเหล้าอุ่นกินครั้งเดียวหมด เป็นแผลหัวล้าน ใช้ดอกที่ตูมตากในที่ร่ม กับผลหม่อน บดใส่ไขมันหมูแล้วผสมให้เข้ากัน ใช้น้ำขี้เถ้าชะล้างบริเวณที่เป็นก่อน แล้วจึงเอายาที่เตรียมไว้ทาบนแผลที่ผื่นคัน ให้ใช้ดอกผสมกับเกลือ บดเป็นผงผสมกับน้ำสมสายชู เป็นโรคพรรดึก มีก้อนอุกจาระแห้งอุดลำไส้อยู่ หรือถ่ายไม่ออก ให้ใช้ดอกสดประมาณ 30 และลูกต๋าวประมาณ 90 กรัม นำไปต้มให้สุก แล้วกินตอนท้องว่าง /2 เวลา เช้าและหลังเที่ยง ท้องลั่นโครกครากแล้วถ่ายของเสียออกมา ในดอกนั้นจะมีสาร kaempferol, coumarin, trifolin ส่วนดอกตูมจะมี naringenin [1]
4. ก้านอ่อน ใช้สดประมาณ 30-60 กรัม นำไปต้มน้ำกิน ใช้สำหรับภายนอก โดยการต้มเอาน้ำอมบ้วนปาก หรือชะล้าง ก้านอ่อนนั้นจะมีรสขม ใช้รักษาอาการปวดบริเวณหน้าอก และหัวใจ ใช้ก้านหั่นแล้วแช่เหล้า แล้วต้มน้ำที่เหลือครึ่งชามแล้วตุ๋นกิน ใช้รักษาแผลในช่อปาก ให้ใช้กานสดใช้อมไว้ ก้านสดเคี่ยวอมไว้ แล้วจึงบ้วนทิ้ง[1]
5. ผล สุก ใช้กินเป็นผลไม้ มีรสเปรี้ยว ชุ่ม ช่วยกระตุ้นน้ำลาย ขับสิ่งคั่งค้าง และช่วยหล่อลื่นลำไส้ ในผลสุกประมาณ 100 กรัมนั้น จะมีสารพวก คาร์โบไฮเดรตประมาณ 7 กรัม โปรตีนประมาณ 0.8 กรัม ไขมันประมาณ 0.1 กรัม แคลเซียมประมาณ 8 มก. เหล็กประมาณ 1 มก. ฟอสฟอรัสประมาณ 20 มก. วิตามินประมาณ 6 มก. กรดนิโคตินิคประมาณ 0.7 มก. แคทีนราวๆ 0.01 มก. และไทยอามีนประมาณ 0.01 มก. นอกจากสารนี้แล้วยังพบว่ามีสารน้ำมันระเหย กรดอินทรีย์ ที่มีตัวหลักคือกรดซิตริ และกรดมาลิค ส่วนในพวกน้ำตาลนั้นได้แก่ fructose, glucose, xylose, sucrose เป็นต้น[1]
6. เมล็ด ใช้แห้งประมาณ 5-10 กรัม นำไปต้มน้ำกินหรือทำให้เป็นยาเม็ดยาผงกินก็ได้ ใช้สำหรับภายนอกโดยการตำพอก เมล็ดนั้นจะรสขมและชุ่ม ใช้เป็นยารักษา อาการประจำเดือนมาไม่ปกติหลังคลอด ใช้เมล็ด เอาเปลือกและส่วนที่แหลมออก และรากบัว นำไปต้มน้ำกินเป็นยาดับน้ำคาวปลาหลังคลอด ใช้เมล็ดประมาณ 10 กรัม เซียะเจียก เปลือกอบเชยจีนอย่างละประมาณ 1.5 กรัม และน้ำตาลทรายประมาณ 10 กรัม นำไปคั่วให้เป็นถ่านแล้วต้มเอากากออก อุ่นเอาแต่น้ำกิน สำหรับผู้หญิงที่มีประจำเดือนไม่ปกติ ไม่ใช่เกี่ยวกับโลหิตจาง ให้ใช้เมล็ดร่วมกัน ดอกคำฝอย โกศเซียง รากพันงู ชนิดละเท่าๆกัน นำไปบดเป็นผงให้ละเอียดกิน หรือใช้ผสมเหล้าอุ่นกินขณะท้องกำลังว่าง มีอาการตกเลือดให้ใช้เมล็ด แกะเอาเปลือกและส่วนที่แหลมออก นำไปต้มแล้วใช้เชียะเจียก เปลือกของเชยจีน โป่งรากสนและเปลือกต้นโบตั๋นชนิดละเท่าๆ กัน นำไปบดเป็ผงผสมกับน้ำผึ้ง แล้วทำเป็นยาเม็ดเท่าปลายนิ้วก้อย กินครั้งละ 3 เม็ด รักษาไข้มาลาเรีย ให้ใช้เมล็ดประมาณ 100 เมล็ด ให้เอาเปลือกและส่วนที่แหลมออก ใส่นมบดให้เป็นของเหลวขันใส่อึ่งตัน มี (Pb3O4 34.9%)9 กรัม แล้วปั้นเป็นเม็ดเท่าถั่วเขียวครั้งละประมาณ 3 เม็ด ก่อนจับไข้ หรือเริ่มจับไข้กับเหล้าอุ่น ถ้าไม่กินเหล้าให้กินกับน้ำแช่ดอกไม้แทนก็ได้ บรรเทาอาการปวดฟัน ให้ใช้เมล็ดนำไปเผา แล้วเอาไปกัดไว้ที่ซี่ที่ปวด เป็นลมพิษ บวม ชัก หรือปวดท้อง
 
  อ้างอิง เต็ม สมิตินันทน์,2544. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย. ส่วนพฤกษศาสตร์ป่าไม้ สำนักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ.
[1] วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม, 2548. พจนานุกรมสมุนไพรไทย. ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 6. รวมสาส์น (1977) จำกัด. กรุงเทพ ฯ.
[2] สมพร ภูติยานันต์, 2546. สมุนไพรใกล้ตัว เล่ม 6 : สมุนไพรที่เป็นพิษ. วิทยาศาสตร์เภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ตุลย์การพิมพ์, เชียงใหม่.
 
  สภาพนิเวศ -
 
  เอกสารประกอบ
 
ภาพนิ่ง