|
วงศ์ |
Anacardiaceae |
|
|
ชื่อวิทยาศาสตร์ |
Rhus javanica L. var. chinensis (Mill.) T. Yamaz. |
|
|
ชื่อไทย |
มะเหลี่ยมหิน, ส้มผด |
|
|
ชื่อท้องถิ่น |
เส่ชิ(กะเหรี่ยงเชียงใหม่), ลำยึ, ไม้สมโพด(ลั้วะ), ส้มผด(คนเมือง), เพี๊ยะยึ, มักพด(ลั้วะ), แผละยึ(ลั้วะ) |
|
|
ลักษณะทาง พฤกษศาสตร์ |
ไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นขนาดเล็กสูงได้ถึง 12 เมตร ลำต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางได้ถึง 18 ซม. เปลือกนอกสีผิวสีน้ำตาลอมขาวหม่น เมื่อแก่มีรูอากาศขนาดใหญ่สีน้ำตาลอมขาวหม่น เมื่อแก่มีรูอากาศขนาดใหญ่สีน้ำตาลอมแดงเรียงเป็นแถว เปลือกในสีขาวหม่น มียางสีขาวหม่นหรือขาวอมเหลืองอ่อน
ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ปลายคี่ช่อใบยาว 25-40 ซม. เรียงสลับระหว่างช่อเวียนรอบกิ่งหรือต้น ก้านช่อใบยาว 8-11 ซม. แกนในร่วมแบนข้างเล็กน้อย แผ่เป็นสันคล้ายปีก ใบย่อยไม่มีก้านใบจับคู่กัน 3-6 คู่ รูปไข่กว้างหรือรูปไข่แกมขอบขนานถึงรูปใบหอก ขนาดกว้าง 2.5-8.0 ซม. ยาว 5-15 ซม. ปลายใบแหลม เรียวแหลมหรือเป็นติ่งแหลม โคนใบโค้งมนหรือสอบแคบ สองข้างไม่สมมาตร ขอบใบหยักคล้ายฟันเล็กๆ ใบเมื่ออ่อนยังมีขนละเอียดสีน้ำตาลอ่อนปกคลุมค่อนข้างหนาแน่น เมื่อแก่สีเขียวเข้ม ผิวสาก และมีขนละเอียดสีน้ำตาลเฉพาะบนเส้นใบด้านบน ด้านล่างมีมีแบบเดียวกันปกคลุมค่อนข้างหนาแน่น ใบแก่เปลี่ยนสีเป็นสีแดงเข้มก่อนร่วงบนเส้นใบด้านบน ด้านล่างมีแบบเดียวกันปกคลุมค่อนข้างหนาแน่น ใบแก่เปลี่ยนสีเป็นสีแดงเข้มก่อนร่วงดอกออกเป็นช่อกระจะแยกแขนงที่ยอดหรือปลายกิ่ง
ดอก ดอกย่อยสมบูรณ์เพศหรืออาจแยกเพศแยกช่ออยู่บนต้นเดียวกันหรือต่างต้นกัน ช่อดอกเพศผู้ยาว 30-40 ซม. ช่อดอกเพศเมียยาว 15-20 ซม. แขนงช่อดอกยาวได้ถึง 25 ซม. ดอกย่อยเล็ก กลีบเลี้ยงสั้นกว่า 1 มม. โคนเชื่อมกัน ปลายแยกเป็นแฉกรูปสามเหลี่ยม 5 แฉก กลีบดอก 5 กลีบ รูปรีกว้างหรือรูปขอบขนาน ขนาดกว้าง 1.0-1.5 มม. ยาว 1.8-2.2 มม. สีขาวหรือเหลืองอ่อนอมเขียวอ่อน เกสรเพศผู้ 5 อัน ที่ไม่เป็นหมันยาวประมาณ 2 มม. ที่เป็นหมันยาว 1.0-1.5 มม. เรียงล้อมรอบหมอนรองดอกที่มี 5 พู รังไข่ค่อนข้างกลมนูนอยู่เหนือฐานวงกลีบรวม มีขนละเอียดปกคลุมหนาแน่น ภายในมี 1 ช่อง ก้านเกสร 3 อัน
ผล รูปร่างเกือบกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4-6 มม. มีกลีบเลี้ยงรองรับ เมื่ออ่อนสีขาวอมเขียว เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีชมพูถึงสีแดงจัดแล้วเปลี่ยนเป็นสีขาว ผิวมียางเหนียวและมีขนละเอียดปกคลุมหนาแน่น
เมล็ดมีชั้นหุ้มแข็ง
ใบของพืชชนิดนี้มักจะมีแมลงขนาดเล็กคล้ายแมลงหวี่ลงทำลายทำให้เกิดปมเป็นตุ่มขนาดใหญ่สีแดงงอกออกมาเป็นกลุ่มคล้ายผลเห็นได้ชัดเจนกระจายอยู่ทั่วทั้งต้น [11] |
|
|
ใบ |
ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ปลายคี่ช่อใบยาว 25-40 ซม. เรียงสลับระหว่างช่อเวียนรอบกิ่งหรือต้น ก้านช่อใบยาว 8-11 ซม. แกนในร่วมแบนข้างเล็กน้อย แผ่เป็นสันคล้ายปีก ใบย่อยไม่มีก้านใบจับคู่กัน 3-6 คู่ รูปไข่กว้างหรือรูปไข่แกมขอบขนานถึงรูปใบหอก ขนาดกว้าง 2.5-8.0 ซม. ยาว 5-15 ซม. ปลายใบแหลม เรียวแหลมหรือเป็นติ่งแหลม โคนใบโค้งมนหรือสอบแคบ สองข้างไม่สมมาตร ขอบใบหยักคล้ายฟันเล็กๆ ใบเมื่ออ่อนยังมีขนละเอียดสีน้ำตาลอ่อนปกคลุมค่อนข้างหนาแน่น เมื่อแก่สีเขียวเข้ม ผิวสาก และมีขนละเอียดสีน้ำตาลเฉพาะบนเส้นใบด้านบน ด้านล่างมีมีแบบเดียวกันปกคลุมค่อนข้างหนาแน่น ใบแก่เปลี่ยนสีเป็นสีแดงเข้มก่อนร่วงบนเส้นใบด้านบน ด้านล่างมีแบบเดียวกันปกคลุมค่อนข้างหนาแน่น ใบแก่เปลี่ยนสีเป็นสีแดงเข้มก่อนร่วงดอกออกเป็นช่อกระจะแยกแขนงที่ยอดหรือปลายกิ่ง
|
|
|
ดอก |
ดอก ดอกย่อยสมบูรณ์เพศหรืออาจแยกเพศแยกช่ออยู่บนต้นเดียวกันหรือต่างต้นกัน ช่อดอกเพศผู้ยาว 30-40 ซม. ช่อดอกเพศเมียยาว 15-20 ซม. แขนงช่อดอกยาวได้ถึง 25 ซม. ดอกย่อยเล็ก กลีบเลี้ยงสั้นกว่า 1 มม. โคนเชื่อมกัน ปลายแยกเป็นแฉกรูปสามเหลี่ยม 5 แฉก กลีบดอก 5 กลีบ รูปรีกว้างหรือรูปขอบขนาน ขนาดกว้าง 1.0-1.5 มม. ยาว 1.8-2.2 มม. สีขาวหรือเหลืองอ่อนอมเขียวอ่อน เกสรเพศผู้ 5 อัน ที่ไม่เป็นหมันยาวประมาณ 2 มม. ที่เป็นหมันยาว 1.0-1.5 มม. เรียงล้อมรอบหมอนรองดอกที่มี 5 พู รังไข่ค่อนข้างกลมนูนอยู่เหนือฐานวงกลีบรวม มีขนละเอียดปกคลุมหนาแน่น ภายในมี 1 ช่อง ก้านเกสร 3 อัน
|
|
|
ผล |
ผล รูปร่างเกือบกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4-6 มม. มีกลีบเลี้ยงรองรับ เมื่ออ่อนสีขาวอมเขียว เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีชมพูถึงสีแดงจัดแล้วเปลี่ยนเป็นสีขาว ผิวมียางเหนียวและมีขนละเอียดปกคลุมหนาแน่น
เมล็ดมีชั้นหุ้มแข็ง
ใบของพืชชนิดนี้มักจะมีแมลงขนาดเล็กคล้ายแมลงหวี่ลงทำลายทำให้เกิดปมเป็นตุ่มขนาดใหญ่สีแดงงอกออกมาเป็นกลุ่มคล้ายผลเห็นได้ชัดเจนกระจายอยู่ทั่วทั้งต้น [11] |
|
|
สรรพคุณ / การใช้ประโยชน์ |
- ผล ตำใส่เกลือและพริกรับประทานได้(กะเหรี่ยงเชียงใหม่)
ผล รับประทานได้ มีรสเปรี้ยว(ลั้วะ)
ผล รับประทานโดยใช้คลุกกับเกลือหรือกะปิ(ลั้วะ)
เปลือกต้น ใช้ขูดใส่ลาบช่วยให้มีรสชาติอร่อย(คนเมือง)
ผล กินร่วมกับลำชิเพียร มีรสเปรี้ยวๆเค็มๆ(ลั้วะ)
- ผล เคี้ยวกินแล้วดื่มน้ำตาม ช่วยรักษาโรคริดสีดวง , ผล แช่น้ำใส่เกลือ ดื่มแก้อาการหวัด(ใช้ได้ผลกับบางคนเท่านั้น)(กะเหรี่ยงเชียงใหม่)
ผล นำไปตำผสมกับขิงรับประทานแก้อาการไอ(ลั้วะ)
- ชาวเขาโดยทั่วไปกินผลสุก ซึ่งมีรสเปรี้ยว ลำต้นใช้ทำรั้ว กิ่งก้านใช้ทำฟืน มูเซอใช้ยอดอ่อนผสมไข่หมกกินแก้ท้องเสีย อีก้อใช้ใบอ่อนผสมหน่อไม้กินเป็นอาหารประเภทผัก ใช้ใบพืชชนิดนี้ 9 ใบวางบนก้อนหินในยุ้งฉางก่อนใส่ข้าวเพื่อเก็บโดยเชื่อว่าจะทำให้ข้าวปลอดภัยจากการทำลายของสัตว์ อีก้อ และม้งใช้ใบตำเป็นยาพอกสำหรับห้ามเลือด สมานแผล ต้มน้ำอาบแก้อาการผื่นคัน ตุ่มพองและโรคผิวหนังตามร่างกาย และให้สตรีอาบหลังคลอดบุตรใหม่ๆ ใช้ราก ต้มน้ำดื่มเป็นยาแก้ไอ ปวดท้อง อาหารไม่ย่อยอาหารเป็นพิษ [11]
ใช้ลำต้น ราก และใบต้มใช้น้ำทำความสะอาดร่างกาย และใช้เป็นยาพื้นบ้านล้านนา โดยใช้รากผสมกับรากสาบเสือ รากปืนนกไส้ และก้นจ้ำทั้งต้น และผักปลาบทั้งต้น ต้มน้ำดื่มเป็นยาแก้ไอ แก้น้ำมูก ใช้ต้นและเมล็ดตำพอกแก้บาดแผล ต้มน้ำดื่มแก้อาการเจ็บคอและหวัด [11] |
|
|
อ้างอิง |
เต็ม สมิตินันทน์,2544. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย. ส่วนพฤกษศาสตร์ป่าไม้ สำนักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ.
[11] สุธรรม อารีกุล, จำรัส อินทร, สุวรรณ ทาเขียวและอ่องเต็ง นันทแก้ว, 2551. องค์ความรู้เรื่องพืชป่าที่ใช้ประโยชน์ทางภาคเหนือของไทย เล่ม 3. มูลนิธิโครงการหลวง. อมรินทร์ พริ้นติ้งแอนพับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน), กรุงเทพฯ. 978 หน้า. |
|
|
สภาพนิเวศ |
- |
|
|
เอกสารประกอบ |
|