ค้นหาสมุนไพร  
     
   
   
   
     
 
   
eherb ผลการค้นหา มะเดื่อปล้อง, เดื่อปล้อง
มะเดื่อปล้อง, เดื่อปล้อง
Ficus hispida L.f.
 
 
 
 
 
รายละเอียดทางพฤษศาสตร์
 
  วงศ์ Moraceae
 
  ชื่อวิทยาศาสตร์ Ficus hispida L.f.
 
  ชื่อไทย มะเดื่อปล้อง, เดื่อปล้อง
 
  ชื่อท้องถิ่น งงหยอเจีย(เมี่ยน), หมากหนอด(ไทใหญ่), เดื่อป่อง(คนเมือง,ไทลื้อ), ลำเดื่อปล้อง(ลั้วะ), กระซาล(ขมุ), ลำเดื่อ(ลั้วะ), ไฮ่มะเดื่อปล้อง(ปะหล่อง), ดิ๊โจ่เหมาะ(กะเหรี่ยงแดง)
 
  ลักษณะทาง พฤกษศาสตร์ ไม้ต้น สูงถึง 15 ม. บางครั้งพบคล้ายไม้พุ่ม แตกกิ่งก้านสาขากว้างขวาง เปลือกลำต้นสีเทา เรียบ ทุกส่วนมีขนสากสีขาว หรือน้ำตาลอ่อน กิ่งก้านกลวง มียางขาว หูใบยาว 11-25 มม. หลุดร่วงง่าย
ใบ เดี่ยว เรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก บางครั้งพบเรียงเวียนสลับ รูปรีแกมขอบขนานหรือรูปรีแกมรูปไข่ กว้าง 2.6-16 ซม. ในต้นกล้ามีขนาดกว้างถึง 18 ซม. ยาวถึง 40 ซม. ปลายเรียวแหลม ปลายยอดแหลม ยาวถึง 10-25 มม. โคนใบรูปหัวใจ หรือสอบแคบ ขอบจักเป็นคลื่น หรือค่อนข้างเรียบ เนื้อใบคล้ายกระดาษ มีขนสากทั้งสองด้าน บางครั้งพบขนเกลี้ยง เมื่อแห้งสีเขียวอมเทา เส้นใบมี 4-9 คู่ โค้งขึ้นบน มี 1-3 คู่ออกจากโคนใบ อาจสั้นหรือยาวไปถึงเกือบครึ่งของแผ่นใบเส้นร่างแหเป็นแบบขึ้นบันได ผลแบบมะเดื่อ (fig หรือ syconium) ซึ่งต่อไปจะเจริญเป็นผล fig เกิดจากฐานดอกที่บวมพองขึ้น ภายในกลวง ที่ปลายมีช่องเปิดที่มีใบประดับปิดอยู่ ภายใน fig นี้มีดอก 3 ประเภทคือ ดอกเพศผู้ ดอกเพศเมีย และดอกปุ่มหูด fig นี้ส่วนมากเกิดเป็นช่อตามลำต้นบนกิ่งที่ห้อยลง ไม่มีใบ มีหลายกิ่งอยู่รวมกันออกจากลำต้นและกิ่งใหญ่ๆ ยาวถึง 1.5 ม. บางครั้งเลื้อยไปตามพื้นดิน หรือพบบ้างที่เกิดตามง่ามใบ มีขนสากเล็กน้อย เมื่อแก่สีเหลืองอ่อนมีก้านยาว 5-15 มม. ที่โคนมีใบประดับ 3 ใบ ยาว 1.5 ม. บางครั้งเลื้อยไปตามพื้นดิน หรือพบบ้างที่เกิดตามง่ามใบ มีขนสากเล็กน้อย เมื่อแก่สีเหลืองอ่อนมีก้านยาว 5-15 มม. ที่โคนมีใบประดับ 3 ใบ ยาว 1-1.5 มม. ค่อนข้างเป็นสามเหลี่ยม fig รูปไข่กลับแกมรูปผลแพร์ หรือค่อนข้างกลม กว้าง 15(-25)-25(-35) มม. มีใบประดับแบนชิดอยู่ กว้าง 2-4 มม. บางครั้งไม่มี มักมีสันบางๆ บนผิว ช่องเปิดจะค่อนข้างแบน มีใบประดับคล้ายติ่งรูปกรวย 5-6 ใบซ้อนกัน และมีใบประดับเล็ก ๆ อยู่ข้างในอีกหลายใบ ไม่มีขนและเซลล์แข็ง ดอกเพศผู้ มี1-2 แถว กลีบรวมจักเป็น 3-4 พู ปลายมีขน เกสรเพศผู้มี 1 อัน ดอกปุ่มหูดไม่มีก้าน หรือมีก้านมีกลีบรวมปกคลุมใข่ ดอกเพศเมีย ไม่มีก้าน หรือมีก้าน กลีบรวมเชื่อมติดกันคล้ายปลอกหรือท่อสั้นๆ รอบก้านของรังไข่ที่มีสีน้ำตาลแดง ก้านเกสรเพศเมียมีขนสากที่เหนือโคนขึ้นไป เมล็ด ยาวประมาณ 1 มม. มีสันเล็กน้อย มีปุ่ม มีขั้วเมล็ด [8]
 
  ใบ ใบ เดี่ยว เรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก บางครั้งพบเรียงเวียนสลับ รูปรีแกมขอบขนานหรือรูปรีแกมรูปไข่ กว้าง 2.6-16 ซม. ในต้นกล้ามีขนาดกว้างถึง 18 ซม. ยาวถึง 40 ซม. ปลายเรียวแหลม ปลายยอดแหลม ยาวถึง 10-25 มม. โคนใบรูปหัวใจ หรือสอบแคบ ขอบจักเป็นคลื่น หรือค่อนข้างเรียบ เนื้อใบคล้ายกระดาษ มีขนสากทั้งสองด้าน บางครั้งพบขนเกลี้ยง เมื่อแห้งสีเขียวอมเทา เส้นใบมี 4-9 คู่ โค้งขึ้นบน มี 1-3 คู่ออกจากโคนใบ อาจสั้นหรือยาวไปถึงเกือบครึ่งของแผ่นใบเส้นร่างแหเป็นแบบขึ้นบันได ผลแบบมะเดื่อ (fig หรือ syconium) ซึ่งต่อไปจะเจริญเป็นผล fig เกิดจากฐานดอกที่บวมพองขึ้น ภายในกลวง ที่ปลายมีช่องเปิดที่มีใบประดับปิดอยู่ ภายใน fig นี้มีดอก 3 ประเภทคือ ดอกเพศผู้ ดอกเพศเมีย และดอกปุ่มหูด fig นี้ส่วนมากเกิดเป็นช่อตามลำต้นบนกิ่งที่ห้อยลง ไม่มีใบ มีหลายกิ่งอยู่รวมกันออกจากลำต้นและกิ่งใหญ่ๆ ยาวถึง 1.5 ม. บางครั้งเลื้อยไปตามพื้นดิน หรือพบบ้างที่เกิดตามง่ามใบ มีขนสากเล็กน้อย เมื่อแก่สีเหลืองอ่อนมีก้านยาว 5-15 มม. ที่โคนมีใบประดับ 3 ใบ ยาว 1.5 ม. บางครั้งเลื้อยไปตามพื้นดิน หรือพบบ้างที่เกิดตามง่ามใบ มีขนสากเล็กน้อย เมื่อแก่สีเหลืองอ่อนมีก้านยาว 5-15 มม. ที่โคนมีใบประดับ 3 ใบ ยาว 1-1.5 มม. ค่อนข้างเป็นสามเหลี่ยม fig รูปไข่กลับแกมรูปผลแพร์ หรือค่อนข้างกลม กว้าง 15(-25)-25(-35) มม. มีใบประดับแบนชิดอยู่ กว้าง 2-4 มม. บางครั้งไม่มี มักมีสันบางๆ บนผิว ช่องเปิดจะค่อนข้างแบน มีใบประดับคล้ายติ่งรูปกรวย 5-6 ใบซ้อนกัน และมีใบประดับเล็ก ๆ อยู่ข้างในอีกหลายใบ ไม่มีขนและเซลล์แข็ง ดอกเพศผู้ มี1-2 แถว กลีบรวมจักเป็น 3-4 พู ปลายมีขน เกสรเพศผู้มี 1 อัน ดอกปุ่มหูดไม่มีก้าน หรือมีก้านมีกลีบรวมปกคลุมใข่ ดอกเพศเมีย ไม่มีก้าน หรือมีก้าน กลีบรวมเชื่อมติดกันคล้ายปลอกหรือท่อสั้นๆ รอบก้านของรังไข่ที่มีสีน้ำตาลแดง ก้านเกสรเพศเมียมีขนสากที่เหนือโคนขึ้นไป เมล็ด ยาวประมาณ 1 มม. มีสันเล็กน้อย มีปุ่ม มีขั้วเมล็ด
 
  ดอก -
 
  ผล -
 
  สรรพคุณ / การใช้ประโยชน์ - ใบอ่อน รับประทานกับลาบ, ผลสุก รับประทานได้(เมี่ยน)
ผลสุก รับประทานได้, ผลดิบ รับประทานสดกับน้ำพริก(ไทใหญ่)
ผลอ่อน ลวกจิ้มน้ำพริก หรือนำไปประกอบอาหารโดยการหลามกับกระดูกหมู(กะเหรี่ยงแดง)
ผลดิบ ใช้รับประทานกับแกงบอนหรือหลามบอน(ไทลื้อ)
ผลอ่อน นึ่งกินเป็นผักจิ้มน้ำพริก(คนเมือง)
ใบอ่อน รับประทานกับน้ำพริก(ลั้วะ)
ผล รับประทานได้แต่ไม่เป็นที่นิยมเนื่องจากมีแมลงอยู่ข้างในผล(ขมุ)
- ผล ใช้ไม้ร้อยร่วมกับไพล กล้วยดิบที่ฝานเป็นแว่น แช่น้ำ ให้คนที่มีอาการท้องร่วงกินแก้อาการท้องร่วง(คนเมือง)
- กิ่งที่กลวง นำมาทำเป็นหลอดดูดน้ำ เชื่อว่าช่วยทำให้มีความจำดี(ปะหล่อง)
- ยอดอ่อน นำไปต้มเป็นอาหารเลี้ยงหมู(ลั้วะ)
เนื้อไม้ ใช้ทำฟืน(ลั้วะ)
 
  อ้างอิง เต็ม สมิตินันทน์,2544. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย. ส่วนพฤกษศาสตร์ป่าไม้ สำนักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ.
[8] ก่องกานดา ชยามฤตและลีนา ผู้พัฒนพงศ์, 2545. สมุนไพรไทยตอนที่ 7 . ส่วนพฤกษศาสตร์ป่าไม้ สำนักวิชาการป่าไม้ หอพรรณไม้ กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ.
 
  สภาพนิเวศ เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด ตามป่าโปร่ง ป่าดิบเขา พื้นราบ หรือตามที่ว่างเปล่าทั่วไป ชอบดินร่วน อุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำดี
 
  เอกสารประกอบ
 
ภาพนิ่ง